หัวข้อ   “ทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ หลัง นปช. ยุติการชุมนุม”
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ใน
หน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 25 แห่ง เรื่อง “ทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจ
หลัง นปช. ยุติการชุมนุม
”   โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 8-14 มิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า

                 นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากถึงร้อยละ 86.6 ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 2553 ทั้งปีจะขยายดีกว่า
ปี 2552   โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวเท่ากับร้อยละ 4.3
แม้จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม นปช.
และวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป   โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 27.8 เห็นว่าการส่งออกสินค้าจะเป็น
ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปี


                 สำหรับประเด็นวิกฤติหนี้สาธารณะของกรีซและประเทศในแถบยุโรปนั้นนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นต่างกัน
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ   ร้อยละ 44.8 เห็นว่า วิกฤติดังกล่าวจะไม่ลุกลามและจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมี
นัยสำคัญ   ขณะที่อีกร้อยละ 44.8 เช่นกันกลับเห็นว่า วิกฤติจะลุกลามและนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่งแต่แย่
น้อยกว่าครั้งที่แล้ว(วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์)   จากปัจจัยวิกฤติทางการเมืองของไทยและวิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป
ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50.7   เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ร้อยละ 1.25 จนถึงสิ้นปี
  โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า การคงอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว
อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก   อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ส่งเสริมการลงทุน ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน
ไม่ได้สูงมากนัก จึงเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันน่าจะเป็นอัตราที่เหมาะสม

                 ด้านปัจจัยที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนั้น ร้อยละ 71.6 เห็นว่าเป็น
ปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล
  ร้อยละ 55.2 เห็นว่าการชุมนุมประท้วงที่อาจจะเกิดขึ้นอีก   ร้อยละ53.7 เป็นปัญหา
ความเชื่อมั่นของนักลงทุน(การลงทุนทางตรง)

                นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ภายใต้แนวคิด “ 3 (อย่าง)สร้างประเทศไทย”
ประกอบด้วย  (1) สร้างเศรษฐกิจ ด้วยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ กระตุ้นการท่องเที่ยว การบริโภค ช่วยเหลือ
SMEs และภาคการเกษตร ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก
(2) สร้างความเชื่อมั่น   ทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวด้วยการออกมาตรการต่างๆ
อย่างเป็นรูปธรรม   (3) สร้างความปรองดอง   เพื่อความแข็งแกร่งของประเทศในระยะยาว และการดำเนินการตาม
แผนปรองดอง   การกำหนดให้การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทยเป็นวาระแห่งชาติ

                 (โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
 
             1. ความเห็นต่อประเด็น วิกฤติหนี้สาธารณะของกรีซและประเทศในแถบยุโรปจะลุกลามและนำไปสู่
                
วิกฤติเศรษฐกิจโลก เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์) เมื่อปลายปี 2551
                 หรือไม่

 
ร้อยละ
เห็นว่า จะสามารถควบคุมวิกฤติได้และจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก
อย่างมีนัยสำคัญ
44.8
เห็นว่า จะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่ง แต่แย่น้อยกว่า
ครั้งที่แล้ว
44.8
เห็นว่า จะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจโลกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแย่กว่าครั้งที่แล้ว
7.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
3.0
 
 
             2. จากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. และวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป
                 นักเศรษฐศาสตร์ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีควรเป็นอย่างไร


 
ร้อยละ
เห็นว่า ควรตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 จนถึงสิ้นปีนี้
เป็นอย่างน้อย
เนื่องจาก
  • ความเปราะบางทางเศรษฐกิจยังมีอยู่ไม่ว่าจะเป็น อุปสงค์ใน
    ประเทศยังอ่อนแออยู่มาก ปัญหาทางการเมืองในประเทศ
    ยังมีอยู่ หนี้สาธารณะของยุโรปที่ยังเป็นปัญหาอยู่ และ
    เศรษฐกิจโลกยังฟื้นไม่ชัดเจน เป็นต้น
  • เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
    ชะงัก อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือภาคธุรกิจ และส่งเสริม
    การลงทุน
  • ภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันไม่ได้สูงมากนัก อีกทั้งอัตราดอกเบี้ย
    ระดับ ร้อยละ 1.25 น่าจะเป็นอัตราที่เหมาะสม ดังนั้น ช่วงนี้
    ควรเป็นช่วงของการเฝ้าดูสถานการณ์
50.7
เห็นว่า ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้
เนื่องจาก
  • ภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและชัดเจนขึ้น
  • ภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากราคาน้ำมันและสินค้า
    โภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับเงินเฟ้อคาดการณ์
    ที่เริ่มสูงขึ้น
  • การปรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการปรับให้อยู่ในระดับ
    ที่เหมาะสม ไม่ต่ำจนเกินไป (ไม่ใช่การใช้นโยบายที่
    เข้มงวด) อีกทั้งผลจากการใช้นโยบายการเงินมิได้เกิดขึ้น
    ทันทีทันใด หากมีการปรับช้าเกินไปก็อาจไม่ทันการณ์
34.3
เห็นว่า ควรลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 1.25
1.5
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
13.5
 
 
             3. จากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. และวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศแถบยุโรป
                 นักเศรษฐศาสตร์ คาดว่า GDP ปี 2553 ทั้งปีของไทยจะขยายตัวในระดับใด
เมื่อเปรียบเทียบ
                 กับปี 2552


 
ร้อยละ
เห็นว่า GDP ปี 2553 จะดีกว่า ปี 2552 โดยคาดว่าจะขยาย
ร้อยละ 4.3 (ค่าเฉลี่ย)
86.6
เห็นว่า GDP ปี 2553 จะแย่กว่า ปี 2552
4.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
9.0
 
 
             4. ความเห็นต่อประเด็น ปัจจัยที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553

 
ร้อยละ
อันดับ 1   การส่งออกสินค้า
27.8
อันดับ 2   การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
22.9
อันดับ 3   การบริโภคของภาคเอกชน
20.2
อันดับ 4   การลงทุนของภาคเอกชน
13.6
อันดับ 5   การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
12.5
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
3.0
 
 
             5. ความเห็นต่อประเด็น ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบด้านลบกับเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วง
                 ครึ่งหลังของปี 2553 (ตอบได้มากกว่า 1 ปัจจัย)

 
ร้อยละ
อันดับ 1   ปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล
71.6
อันดับ 2   การชุมนุมประท้วงที่อาจจะเกิดขึ้นอีก (กลุ่ม นปช./
              กลุ่มพันธมิตร)
55.2
อันดับ 3   ปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุน(การลงทุนทางตรง)
53.7
อันดับ 4   ปัญหาจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง
47.8
อันดับ 4   การส่งออกที่อาจลดลงจากเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่อาจ
             ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้สาธารณะ
47.8
อันดับ 6   ราคาน้ำมันที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้น
32.8
อันดับ 6   ปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะของกรีซและกลุ่มประเทศแถบยุโรป
32.8
อันดับ 8   ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
31.3
อันดับ 9   ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น กรณีมาบตาพุด และแหลมฉบัง
             ที่ยังไม่ได้ รับการแก้ไข
23.9
อันดับ 10   ค่าเงินบาทที่อาจจะแข็งค่าขึ้น
19.4
อันดับ 11   ปัญหาเงินเฟ้อที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้น
13.4
อันดับ 12   อัตราดอกเบี้ยที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้น
10.4
อันดับ 13   ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสรีของกลุ่มการค้าอาเซียน
4.5
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ
1.5
 
 
             6. ข้อเสนอต่อรัฐบาลในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของ ปี 2553

นักเศรษฐศาสตร์เสนอแนวคิด “3 (อย่าง)สร้างประเทศไทย”
  1. สร้างเศรษฐกิจ  โดย
          • เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
            สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะงบไทยเข้มแข็งฯ ที่จะช่วยเสริมสร้างขีดความ
            สามารถของเศรษฐกิจ
          • กระตุ้นการท่องเที่ยว การบริโภค ช่วยเหลือ SMEs และภาคการเกษตร ซึ่งจะทำให้
            เศรษฐกิจในประเทศมีการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก
  2. สร้างความเชื่อมั่น
            ทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวด้วยการออก
            มาตรการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม และให้สัญญาว่าเหตุการณ์อย่างกรณี
            มาบตาพุดหรือกรณีการชุมนุมประท้วงทางการเมือง(ที่มีความรุนแรง) จะไม่
            เกิดขึ้นอีก
  3. สร้างความปรองดอง
            เพื่อความแข็งแกร่งของประเทศในระยะยาว ด้วยการดำเนินการตามแผนปรองดอง
            การกำหนดให้การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทยเป็นวาระแห่งชาติ  
            รวมทั้งการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรง
                      ไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
                  2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์
                      สูงสุดกับประเทศไทย
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใด
               อย่างหนึ่ง  จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้
               ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี)  ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 25 แห่ง ได้แก่   ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการพัฒนา
               การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร   สำนักงาน
               เศรษฐกิจอุตสาหกรรม   สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า   สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
               ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา   ธนาคารไทยพาณิชย์   ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
               แห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย   บริษัททริสเรทติ้ง   บริษัทหลักทรัพย์ภัทร
               บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส  บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน   บริษัทหลักทรัพย์
               พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า  บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ
               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  และอาจารย์
               คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 8 - 14 มิถุนายน 2553
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 16 มิถุนายน 2553
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
30
44.8
             หน่วยงานภาคเอกชน
25
37.3
             สถาบันการศึกษา
12
17.9
รวม
67
100.0
เพศ:    
             ชาย
38
56.7
             หญิง
29
43.3
รวม
67
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 25 ปี
1
1.4
             26 – 35 ปี
33
49.3
             36 – 45 ปี
18
26.9
             46 ปีขึ้นไป
15
22.4
รวม
67
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
4
6.0
             ปริญญาโท
49
73.1
             ปริญญาเอก
14
20.9
รวม
67
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
18
26.9
             6 - 10 ปี
21
31.3
             11 - 15 ปี
6
9.0
             16 - 20 ปี
8
11.9
             ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
14
20.9
รวม
67
100.0
 
Vote:  ดีมาก(5) ดี (4) ปานกลาง(3) พอใช้ (2) แย่ (1)  
 ผลคะแนนVote              
 
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776